จับตา โซล่าฟาร์มธุรกิจใหม่มาแรง อินเทรนด์อนาคตพลังงานทดแทนไทย
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น และการที่พลังงานในโลกเริ่มจะขาดแคลน ทำให้การลงทุนในเรื่องพลังงานทางเลือกได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งในส่วนของการลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และในส่วนของภาคเอกชนที่เริ่มเห็นช่องทางการลงทุนในพลังงานทางเลือกมากขึ้น ถึงแม้จะต้องใช้เงินลงทุนที่สูง ในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีธนาคารพาณิชย์พร้อมที่จะสนับสนุนในเรื่องเงินทุน เพราะการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ และวิจัย ทำให้รู้ถึงผลกระทบ และความเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้ ทำให้ธุรกิจพลังงานทางเลือกยังมีช่องทางที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
นางวันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โซล่าเพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 67 ล้านคน และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 30,000 เมกะวัตต์ต่อปี แบ่งเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (EGAT) ประมาณ 48% หรือ 14,328 เมกะวัตต์ กลุ่มไอพีพี ผู้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกิน 100 เมกะวัตต์ ประมาณ 40% กลุ่มเอสพีพีหรือกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีกำลังการผลิตน้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ ประมาณ 7% และในส่วนของการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านอีกประมาณ 5% แต่ในโครงการ โซล่าฟาร์มจะเรียกว่าวีเอสพีพีหรือผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมากต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ประเทศของกลุ่มนี้น้อยกว่า 1% ซึ่งถ้าดูกลุ่มที่ใช้ไฟมากที่สุดในประเทศไทยก็จะอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรม 36.5% และภาคธุรกิจประมาณ 36.2% เพราะประเทศไทยยังไม่มีรถไฟรางเดี่ยวหรือรางคู่ในการขนส่ง ซึ่งคาดว่าหากประเทศไทยยังคงใช้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในระดับปัจจุบัน ก็จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติได้อีกเพียงแค่ 28 ปี
ทำให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้ออกแผนล่าสุด คือ แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2553-2573 (PDP 2010) เพื่อให้เกิดความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วมกัน (Cogeneration) รวมทั้งโครงการที่มีความชัดเจนในการดำเนินการ ได้แก่ การรับซื้อไฟฟ้าจาก เอสพีพี ระบบ Cogeneration และการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ตลอดจนการกำหนดปริมาณพลังงานหมุนเวียนให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในด้านการหาไฟฟ้าของประเทศ และการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านพลังงาน เนื่องจากการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นกว่าเมกะวัตต์ในปี 65 และแผนล่าสุดนี้ก็จะทำขึ้นเพื่อลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติให้เหลือ 44% จากปัจจุบันอยู่ที่ 70% กว่า
ทางบริษัทจึงได้มีการริเริ่มทำโครงการ โซล่าฟาร์ม ซึ่งเป็นแผนการลงทุนผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 34 โครงการ กำลังผลิต 204 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุน 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการเสร็จในปี 2556 โดยจะเน้นลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีความเข้มข้นของรังสีสูง ได้แก่
1) จ.นครราชสีมา 9 แห่ง กำลังผลิต 54 เมกะวัตต์ เงินลงทุนประมาณ 6,300 ล้านบาท
2) จ.ขอนแก่น 10 แห่ง กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 7,000 ล้านบาท
3) จ.บุรีรัมย์ 3 แห่ง กำลังผลิต 18 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,100 ล้านบาท
4) จ.สุรินทร์ 3 แห่ง กำลังผลิต 18 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,100 ล้านบาท
5) จ.นครพนม 3 แห่ง กำลังผลิต 18 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,100 ล้านบาท
6) จ.สกลนคร 2 แห่ง กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท
7) จ.ร้อยเอ็ด 2 แห่ง กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท
8) จ.หนองคาย 1 แห่ง กำลังผลิต 6 เมกะวัตต์
และ 9) จ.อุดรธานี 1 แห่ง กำลังผลิต 6 เมกะวัตต์
เงินลงทุนแห่งละ 700 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไปแล้ว 3 โครงการ ที่แห่งแรกคือ “ โซล่าฟาร์ม โคราช 1” กำลังผลิต 6 เมกะวัตต์ ที่ ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง ซึ่งใช้เงินลงทุนกว่า 700 ล้านบาท และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ร่วม 3 หมื่นแผง บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ เริ่มจำหน่ายไฟไปตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.53 และโครงการ โซล่าฟาร์มแห่งที่ 2 ภายใต้บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สกลนคร 1) สามารถจำหน่ายไฟได้ตั้งแต่เดือน ก.พ.54 และโครงการ โซล่า เพาเวอร์แห่งที่ 3 ภายใต้บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (นครพนม 1) สามารถจำหน่ายไฟได้ตั้งแต่เดือน มี.ค.54 และขณะนี้กำลังก่อสร้างอีก 2 โครงการ คาดว่าจะจำหน่ายไฟได้ภายในเดือนหน้า ทำให้แผนการสร้าง โซล่าฟาร์มอีก 29 โครงการที่เหลือคาดว่าจะเสร็จตามเป้าในปี 56 อย่างแน่นอน และจากการที่แผง โซลาร์เซลล์มีราคาแพงมาก ส่งผลให้มีการกำหนดเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนในรูปของเงินช่วยส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (adder) บวกเข้าไปกับราคาขายไฟฟ้าให้กับรัฐ (กฟผ.-กฟภ.-กฟน.) ทำให้บริษัท โซล่า เพาเวอร์ ได้รับเงินเพิ่มค่าไฟฟ้า (adder) สูงถึง 8 บาท/หน่วย ในทุกโครงการ จากปัจจุบันที่เงินส่วนเพิ่มถูกลดลงไปเหลือเพียง 6.50 บาท/หน่วย เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลง จัดเป็นข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาทีหลัง
“โครงการลงทุนดังกล่าว เราใช้เงินกู้ประมาณ 60-70% ที่เหลือใช้เงินหมุนเวียนของบริษัท โดยโครงการแรกนั้นได้รับสินเชื่อจากธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นโครงการด้านพลังงานสะอาดโครงการแรกของธนาคาร และคาดว่าจะได้รับสินเชื่อในโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง” นางวันดี กล่าว
ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แบ่งเป็นการลงทุนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ 70% ซึ่งบริษัทเลือกใช้แผงจากบริษัทเคียวเซร่าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของโลก ส่วนเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ใช้ของบริษัท SMA จากเยอรมนี อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเชื่อว่าหากบริษัทลงทุนครบทั้ง 34 จุด จะทำให้ต้นทุนต่ำลงแน่นอน จากปัจจุบันอยู่ที่ 120 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์
“การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่สะอาด ปราศจากมลภาวะที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษาน้อย และยังสามารถพัฒนาคาร์บอนเครดิต เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย” นางวันดี กล่าว
อ้างอิง: www.green.in.th