กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) เปิดตัวโครงการเพิ่มศักยภาพการใช้มาตรการเศรษฐศาสตร์เพื่อคงคุณค่า ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ เน้นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และการเงินเป็นตัวสร้างแรงจูงใจให้เกิดการอนุรักษ์ธรรมชาติ
ซึ่งดำเนินงานโดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) และศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมเฮล์มฮอลท์ซ ด้วยงบประมาณโครงการรวม 80 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป รัฐบาลไทย รัฐบาลเยอรมนี และศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมเฮล์มฮอลท์ซ ในโครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยโครงการจะสิ้นสุดในปี พ.ศ.2557
ดร.รุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ ผู้อำนวยการส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมอุทยานฯ กล่าวว่า ปัจจุบันความเสียหายด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์มีมูลค่าสูงถึง 45 ล้านล้านยูโร ขณะที่มีเงินแก้ไขความเสียหายเพียง 6 ล้านล้านยูโรเท่านั้น ความร่วมมือดังกล่าวดำเนินการ ภายใต้ชื่อ “เศรษฐศาสตร์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ (The Economic of Ecosystemas and Biodiversity : TEEB )
เพื่อศึกษาค้นหาความสัมพันธ์เศรษฐศาสตร์ระหว่างระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศต่อมนุษยชาติ 2. สร้างความเข้าใจในมูลค่าเศรษฐกิจที่แท้จริงของความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ 3. ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาประเมินคุณค่าเศรษฐกิจที่แท้จริงของความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ 4. พัฒนามาตรการที่สอดคล้องกับมาตรการ TEEB ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าเชิงเศรษฐศาสตร์กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ
ดร.รุ่งนภา กล่าวว่า เมื่อประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ออกมาแล้ว ต้องพัฒนาออกมาเป็นมาตรการโดยยึดหลักการของ TEEB ภายใต้เงื่อนไขของการอนุรักษ์ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และการแบ่งปันอย่างเท่าเทียม ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนที่อยู่ในเขตแนวป่า ที่รักษาป่าควรได้ค่าตอบแทน สวัสดิการด้านการศึกษา การสาธารณสุขที่ควรจะได้ หรือการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่า เช่น การหาของป่าต้องมีการจัดสรรอย่างเป็นธรรม หรือการนำผลิตผลของป่าไปแปรรูปเป็นสมุนไพร ซึ่งเมื่อออกมาเป็นยาแล้วราคาแพง แต่เมื่อเทียบแล้วคนที่ดูแลป่าทำให้ระบบนิเวศเอื้อต่อการเกิดพืชสมุนไพรได้ค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด ขณะเดียวกันบุคคลที่ดูแลรักษาป่าไว้ ช่วยรักษาโลกร้อนให้กับคนในเมืองด้วย ต้องศึกษาลงไปว่าจะจัดสรรให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ให้มีความอยู่ดีกินดีได้อย่างไร
วิธีนี้ประเทศเวียดนามนำมาใช้แล้วโดยการเก็บเงินค่าใช้ไฟฟ้าของคนในประเทศมาจ่ายให้กับชาวบ้านที่ดูแลป่า ขณะเดียวกันคนที่ทำลายป่าต้องใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์คำนวณออกมาว่า สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศอย่างไรถ้าเก็บป่าไว้จะมีมูลค่าด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไรบ้าง”
ปัจจุบันTEEB มีกรณีศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ด้านความหลากหลายและระบบนิเวศที่ปฏิบัติได้จริงแล้ว 500 กรณีทั่วโลก ขณะนี้ได้รับการยอมรับแล้ว สำหรับประเทศไทยคาดว่าจะเริ่มใช้กับพื้นที่ป่านำร่องได้ในปีนี้ ในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ โดยพิจารณาว่าพื้นที่ดังกล่าวใกล้กรุงเทพฯ และมีการใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวอย่างสูงสุด ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเทศกาลมีคนเข้าไปใช้พื้นที่จำนวนมากเกินกว่าที่จะรับได้ หนึ่งในกิจกรรมคือต้องแสวงหาเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อแบ่งเบา และที่บ้านครีวงศ์ คนต้นน้ำที่ดูแลป่าต้นน้ำส่งผลให้คนปลายน้ำมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ด้วยการทำเกษตรแบบออแกนิก ต้องมีการศึกษาเพื่อชดเชยให้มีความสมดุล
ด้านนายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวว่า โครงการนี้เน้นนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และการเงินมาใช้ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงจะมีการนำเอานวัตกรรมจากการศึกษาระดับนานาชาติว่า “เศรษฐกิจของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ( TEEB) ที่เพิ่งจะสรุปผลไม่นานนี้มาเป็นแนวทางดำเนินการ โดยมุ่งพัฒนาแหล่งทุน และสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ สำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่อนุรักษ์
“ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น น้ำสะอาด และการควบคุมสภาพภูมิอากาศนั้นมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีเสมอ ดังนั้นการรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความคุ้มค่า” นางเวโรนีค ลอเรนโซ ที่ปรึกษาทางการทูตและหัวหน้าฝ่ายความร่วมมือ สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ระบุ
ที่มา: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=546&contentID=159792