มีข้อถกเถียงกันว่า หันมาใช้พลังงานทางเลือก ไบโอฟิวส์ สกัดน้ำมันออกมาจากพืชไม่ง้อน้ำมันดิบที่อีกไม่เกิน 30 ปี จะขาดแคลนอย่างแน่นอน* คราวนี้ก็มาติดที่ว่าถ้าสกัดจากพืชซึ่งมนุษย์เองยังปลูกไม่พอกินกันเลย จะดีหรือ? ไม่ดีแน่นอน เพราะอะไร แล้วทำไมมาลงเอยที่ "สาหร่าย" ลองมาดูวิวัฒนาการการผลิตเชื้อเพลิงทางเลือกทั้ง 4 เจนเนอเรชั่นกัน ...
1st Generation
ข้าวโพด > หมัักยีสต์ > ได้เอธานอล (มีคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เป็น by-products)
กว่าจะได้น้ำมันไบโอฟิวส์ 1 แกลลอน ต้องใช้ข้าวโพด 21 ปอนด์ส กว่าจะได้ข้าวโพด 21 ปอนด์ส การปลูก ปุ๋ย การขนส่ง ฯลฯ ต้องใช้น้ำมันปิโตรเลียม 1/2 แกลลอน หมักออกมาแล้วคุณภาพก็ยังดีไม่เท่าน้ำมันปิโตรเลียม ต้องนำมาผสมใช้ร่วมกัน นอกจากทำให้ราคาพืชแพงขึ้นแล้ว ปลูกเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และยังคงต้องใช้ "น้ำมันจากซากฟอสซิล" ในขบวนการอยู่ดี คุ้มเหรอเนี่ย!!!
2nd Generation
เซลลูโลสจากพืช >หมักยีสต์หรือแบคทีเรีย > ได้เอธานอล หรือ บิวธานอล (มีคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เป็น by-products)
เจนที่ 2 นี้ลดเกรดจากพืชอาหารมาเป็นพืชที่คุณค่าน้อยกว่า อย่างเส้นใยจากหญ้า ผลพลอยได้จากการเกษตร ฯลฯ และเชื้อเพลิงที่ได้ก็มีคุณภาพดีกว่าเชื้อเพลิงที่หมักจากข้าวโพดด้วย แต่ความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ ยังคงมองหาอะไรที่ดียิ่งกว่า...
3rd Generation
สาหร่ายหรือแบคทีเรียที่ดูดพลังงานจากคาร์บอนไดออกไซด์ และแสงแดด สังเคราะห์แสงแล้วแปลงเป็นไขมันสะสมไว้ > ใช้สารเคมีทำละลายเพื่อสกัดเอาไขมันออกมา > ได้ไบโอดีเซล เดี่ยวๆ เลย (ไม่มีคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิต)
ข้อเด่นของเจนนี้ก็คือ สาหร่าย/แบคทีเรียพวกนี้โตเร็วมากๆ สกัดไขมันออกมาได้มากกว่า มากกว่าการผลิตไขมันจากถั่ว 250 เท่าตัวในพื้นที่เท่าๆ กัน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังคงมีความยุ่งยากในการปลูกเจ้าสาหร่ายพวกนี้ให้ได้มากพอใช้งาน และไม่กระทบกับพืชอาหารอื่นๆ และไม่ถูกสาหร่ายและแบคทีเรียอื่นๆ ที่เราไม่ต้องการมาปนเปื้อนในแปลงปลูก
4th Generation
สาหร่ายและแบคทีเรียที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งสามารถสังเคราะห์แสงแล้วแปลงเป็นไขมัน > ไขมันถูกสกัดออกมาเองโดยไม่ต้องใส่สารเคมีทำละลาย > ได้ไบโอดีเซล โดยที่สาหร่าย/แบคทีเรียนั้นๆ ยังไม่ตาย ยังคงสังเคราะห์แสงและปล่อยไขมันออกมาให้เราใช้ต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องใช้เนื้อที่เพาะปลูกมากมาย และสาหร่าย/แบคทีเรียเหล่านี้จะตายถ้าไม่ได้รับสารเคมีที่เลี้ยงมัน และช่วยให้มันสกัดไขมันออกมาได้นี้ แปลว่ามันจะไม่แพร่พันธุ์ ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมข้างนอก
ถึงจะไม่มั่นใจนักว่า การดัดแปลงพันธุกรรมมัน "จะดีเหรอ" แต่ที่มั่นใจอย่างก็คือ ตอนนี้เวลานี้เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า อาหารที่เรากินอยู่มันผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม หรือปนเปื้อนอะไรมาบ้าง มันเกินความสามารถที่เราจะหยุดยั้งมันแล้ว คงต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้อย่างสันติ ซะมากกว่าไปต่อต้านมัน (ไม่สติแตก เดี๋ยวจะแ_ก อะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ดีกว่า) ก็ได้แต่หวังว่า การพัฒนาไบโอฟิวส์เจนเนอเรชั่นที่ 4 นี้จะประสบความสำเร็จ ผลิตได้มากพอและนำมาใช้ทดแทนน้ำมันปิโตรเลียมได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ โลกเราจะได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มนุษย์จะไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันจากซากฟอสซิลที่ก่อมลพิษ และก๊าซเรือนกระจกมากมายอีกต่อไป
อ้างอิง: www.green.in.th